Monday, September 29, 2014

Every Entrepreneur Should Read This Guide From A Facebook Co-Founder ผู้ประกอบการทุกคนควรอ่านคำแนะนำนี้จากผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเฟสบุ๊ค

Every Entrepreneur Should Read This Guide From A Facebook Co-Founder
ผู้ประกอบการทุกคนควรอ่านคำแนะนำนี้จากผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเฟสบุ๊ค


Dustin Moskovitz co-founded Facebook with Mark Zuckerberg and it made him a billionaire. Now he's working on another company, Asana.
Moskovitz created a startup deck that's full of advice about how to launch a successful company and explains what it takes to be an entrepreneur. It's not as glamorous as Hollywood and the media make it look.
ดัสติน มอสโกวิทซ์ ผู้ร่วมก่อตั้งเฟสบุ๊คกับมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก และทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีพันล้าน  ปัจจุบัน เขาทำงานกับอีกบริษัทหนึ่ง ชื่อ อซานา
มอสโกวิทซ์ ได้ให้คำแนะนำมากมายเกี่ยวกับวิธีที่จะก่อตั้งบริษัทที่ประสบความสำเร็จและอธิบายว่า ผู้ประกอบการต้องพบกับอะไรบ้าง  มันไม่ได้น่าตื่นเต้นหรือสดใสเหมือนกับในหนังฮอลลีวูดหรือเหมือนกับภาพที่สื่อต่าง ๆ สร้างให้เห็น
"It's important to know [why you want to start a company]," Moskovitz explained to a Stanford class. "You may have been mislead by the way that Hollywood or the press likes to romanticize entrepreneurship."
เป็นสิ่งที่สำคัญที่รู้ว่า ทำไมคุณจึงต้องการเริ่มต้นสร้างบริษัท” มอสโกวิทซ์ได้อธิบายให้กับนักศึกษาสเตนฟอร์ด  “คุณอาจจะเข้าใจภาพของการเป็นผู้ประกอบการผิด ๆ จากนำเสนอของหนังฮอลลีวูดหรือสื่อต่าง ๆ ที่ชอบทำให้ภาพของการเป็นผู้ประกอบการดูน่าหลงใหล


"The 4 common reasons people want to start companies are: It's glamorous, you'll get to be the boss, you'll have flexibility, especially over your schedule, and you'll have the chance to have bigger impact and make more money."4 เหตุผลทั่วไปที่คนอยากจะเริ่มต้นธุรกิจ  คือ  มันดูเท่ห์ คุณจะได้เป็นเจ้านาย  จะมีเวลาที่ยืดหยุ่น มากขึ้น  โดยเฉพาะตารางเวลา และคุณจะทำเงินได้มากขึ้นและมีโอกาสที่จะมีอิทธิพลต่อคนอื่นมากขึ้น


"The reality is just not quite so glamorous, there's an ugly side to being an entrepreneur, and more importantly, what you're actually spending your time on is just a lot of hard work." ความเป็นจริงก็คือ มันไม่ได้เท่ห์อย่างนั้น  การเป็นผู้ประกอบการนั้น มีด้านที่แย่ ๆ ด้วย และสิ่งที่สำคัญกว่านั้น ส่วนใหญ่นั้น คุณจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานอย่างหนัก

"So a scene from 'The Social Network.' This is us partying and working at the same time—somebody's spraying champagne everywhere..." ในภาพของสื่อสังคม นี่เป็นภาพของพวกเราที่กำลังมีงานปาร์ตี้ ในขณะที่ทำงานไปด้วย และมีคนที่เอาเหล้าแชมเปญสาดพ่นไปทั่ว

"This is an actual scene from Palo Alto, [Mark Zuckerberg] spent a lot of time at this desk, head down and focused...this is just him signaling his intention to be focused and keep working, not be social."  นี่เป็นฉากแห่งความเป็นจริงจาก ปาโล ออลโต มาร์คซัคเกอร์เบิร์ก ใช้เวลานานมากที่โต๊ะตัวนี้ ก้มหน้าและจดจ่อทำงาน  นี่คือตัวเขา ซึ่งแสดงให้เห็นความตั้งใจของเขา ที่จะจดจ่อกับการทำงานและไม่สุงสิงกับใคร

"Then there's the scene demonstrating the insight moment. It's kind of out of 'A Beautiful Mind.'" และมีฉากหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น


"Really, we were just at that table the whole time. So if you compare this photo, Mark is in the exact same position but he's wearing different clothes, so this is definitely a different day." ความเป็นจริงคือ พวกเรานั่งที่โต๊ะนั้นตลอดเวลา และถ้าคุณเอารูปนี้มาเปรียบเทียบ  มาร์คจะนั่งอยู่ในท่านี้ตลอดเวลา แต่เขาใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมือนกัน  แสดงว่านี่ไม่ใช่วันเดียวกัน


"Why is [a startup] so stressful? You've got a lot of responsibility. You have fear of failure on behalf of yourself and all of the people who decided to follow you... Ben Horowitz likes to say the number one role of a CEO is managing your own psychology. It's absolutely true; make sure you do it." ทำไมการเริ่มต้นธุรกิจจึงเป็นสิ่งที่เครียดมาก เพราะคุณมีความรับผิดชอบจำนวนมาก  คุณกลัวตัวคุณจะล้มเหลว และคุณทำให้คนที่ตัดสินใจติดตามคุณล้มเหลวไปด้วย  เบน ฮอโรวิทซ์ชอบที่จะพูดว่า บทบาทหนึ่งของ ซีอีโอ ก็คือ การจัดการกับจิตวิทยาของตนเอง  นั่นเป็นจริงเลยทีเดียว คุณต้องแน่ใจว่าคุณได้ทำสิ่งนี้แล้ว

"Another reason [people start companies] is you start to develop this narrative [at a job], like the people running this company are idiots.. I'm gonna start a company and I'm going to do it better. I'm going to set all the rules." อีกเหตุผลหนึ่งที่คนเริ่มต้นธุรกิจคือ คุณเริ่มที่จะชอบพูดในที่ทำงาน เช่นว่า คนที่บริหารบริษัทนี้โง่จริง ๆ  ผมจะเริ่มต้นสร้างธุรกิจของผมเองและผมจะทำให้ดีกว่า  ผมจะตั้งกฎของผมเอง


คุณจะได้เป็นหัวหน้า
But being a CEO is really like this...แต่การเป็นซีอีโอ จริง ๆ แล้ว เป็นดังนี้


“คนมักจะมีภาพของซีอีโอของบริษัทดังนี้ คือ พวกเขาเริ่มต้นธุรกิจและได้อยู่ระดับบนสุดของยอดพีรมิด  แต่ความเป็นจริงก็คือ ทุกๆ คนเป็นหัวหน้าของคุณ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานทั้งหมดของคุณ ลูกค้า หุ้นส่วน ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ สื่อต่าง ๆ   ผมไม่เคยมีหัวหน้าหลายคนอย่างนี้ และต้องอธิบายให้กับคนจำนวนมากขึ้นเหมือนอย่างทุกวันนี้มาก่อน  ชีวิตของซีอีโอส่วนใหย่ต้องรายงานให้แก่คนอื่น ๆ   ถ้าคุณอยากแสดงพลังอำนาจต่อคน ก็จงไปสมัครเป็นทหารหรือไม่ก็ไปเป็นนักการเมือง อย่าได้เป็นผู้ประกอบการ”
"A subset of You're the Boss is you have flexibility, you have control over your own schedule. This is a really attractive idea." “แนวคิดที่ว่า ถ้าคุณได้เป็นหัวหน้า คุณก็จะมีอิสระมากขึ้น มีเวลาที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และคุณจะสามารถควบคุมตารางเวลาของคุณได้ นี่เป็นความคิดที่ดูน่าสนใจ”


"Here's the reality..." แต่นี่คือความจริง

มีเวลาที่ยืดหยุ่น
          ถ้าคุณจะเป็นผู้ประกอบการ คุณจะมีช่วงเวลาที่ยืดหยุ่นเพื่อจะซื่อสัตย์ เพื่อคุณสามารถที่จะทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวันตามที่คุณต้องการได้” ฟิล ลิบิน
·       คุณอาจต้องรับหรือคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา
·       คุณเป็นแบบอย่างแก่คนอื่น
·       คุณอาจทำงานยุ่งตลอดเวลา

"This is the [reason to start a company] I hear most...People tell me, 'You know, I'd really like to work for much smaller companies or start my own because then I have a much bigger slice of the pie.'" นี่เป็นเหตุผลที่เริ่มต้นบริษัทหรือธุรกิจ ที่ผมมักจะได้ยินมากที่สุด คนมักจะบอกผมว่า “คุณรู้มั้ย ผมน่ะชอบที่จะทำงานในบริษัทเล็ก ๆ หรือเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง เพราะว่าผมจะได้ส่วนแบ่งที่มากขึ้น”
"If you're [not] extremely confident in building a $100M company, it should go without saying that you should have a lot more confidence [working for] Facebook in 2009 or Dropbox...If you think you're the right entrepreneur to build "Uber for Space Travel", a really huge $2B idea, you're actually going to have a pretty good return for that, you should definitely do that."
ถ้าคุณไม่ได้มั่นใจที่จะสร้างบริษัท ร้อยล้านดอลล่าร์ คุณควรจะมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะทำงานให้กับเฟสบุ๊คในปี 2009 หรือทำงานให้กับ Dropbox… ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นผู้ประกอบการจริง ๆ ที่จะสร้าง “บริษัท ยูเบอร์สำหรับท่องอวกาศ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีมูลค่า สองพันล้านเหรียญ คุณคงจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการทำอย่างนั้น  คุณควรจะทำอย่างนั้น


"I really think that financial reward is very strongly correlated with the impact we have on the world...It's important to keep in mind the context what kind of company you're trying to start and where you will actually be able to make it happen." ผมคิดว่า รางวัลที่เป็นผลตอบแทนด้วยเงินนั้นเชื่องโยงกับผลกระทบที่เราสร้างต่อโลกนี้  จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะจำไว้ว่า บริษัทประเภทอะไรที่คุณกำลังพยายามเริ่มต้นสร้าง และคุณจะทำให้บริษัทนี้เกิดขึ้นที่ไหน
So, what's the best reason to start a company? ดังนั้น เหตุผลอะไรล่ะที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจหรือบริษัท

You can't NOT do it. คุณไม่สามารถที่จะไม่ทำมัน

"You can't not do it in two ways. One is you're so passionate about it that you have to do it and you're going to do it anyways. This is really important because you'll need that passion to get through all of those hard parts of being an entrepreneur...The other way to interpret this is the world needs you to do it." คุณไม่สามารถที่จะไม่สร้างมันด้วยสองเหตุผล เหตุผลที่หนึ่ง คุณมีใจรักมันมากจนคุณจำต้องทำมันหรือสร้างมันขึ้นมา หรือไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณต้องสร้างมันมาให้ได้  นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าคุณต้องการความรักในสิ่งที่คุณทำนั้น เพื่อที่จะอดทนให้ผ่านพ้นอุปสรรค์หรือความยากลำบากต่าง ๆ ของการเป็นผู้ประกอบการ  อีกเหตุผลหนึ่งคือ สิ่งที่คุณจะทำเป็นสิ่งที่โลกต้องการคุณ ให้คุณทำมันหรือสร้างมันขึ้นมา

Here's Moskovitz's recommended reading list for aspiring entrepreneurs: ต่อไปนี้เป็นหนังสือที่คุณมอสโกวิทซ์แนะนำให้ผู้ประกอบการได้อ่าน




Thursday, September 25, 2014

How Can I Become A Good Programmer จะเป็นนักโปรเเกรมเมอร์ได้อย่างไร

การเขียนโปรเเกรมไม่ใช่สิ่่งที่ยากอย่างที่คิด ขอเพียงรักและชอบและยอมเรียนรู้วิธีการทำงานของโปรเเกรมจากนั้นก็ฝึกฝนบ่อย ๆ จนชำนาญ ก็สามารถที่จะเป็นนักโปรเเกรมเมอร์ที่เก่งได้
นักเขียนโปรเเกรมทุกคนก็เริ่มต้นจาก โปรเเกรมง่าย ๆ สนุก ๆ สู่โปรเเกรมที่ซับซ้อนมากขึ้น ท้าทายมากยิ่งขึ้น

เชิญชมคลิปข้างล่าง

Wednesday, September 24, 2014

iPhone 6 Plus Bend Test ทดสอบว่าไอโฟน 6 พลัส หักงอหรือไม่

ไอโฟน 6 พลัส ถูกนำมาทดสอบว่าหักงอได้จริงหรือไม่
เมื่อทำการทดสอบโดยการใช้แรงกดตรงกลางตัวไอโฟนอย่างแรง ปรากฎว่าบิดงอครับ แต่ไม่มาก
ชมคลิปทดสอบด้านล่างนี้ได้เลยครับ


How Alibaba's Jack Ma Became the Richest Man in China เจค มา เจ้าของเว็บไซต์ อลีบาบา เป็นมหาเศรษฐีเมืองจีนได้อย่างไร

How Alibaba's Jack Ma Became the Richest Man in China
English teacher and Internet entrepreneur Jack Ma founded Alibaba 15 years ago in his tiny apartment in Hanzhou, China. On Friday, Ma became the richest man in China on the heels of the biggest IPO in U.S. and possibly world history. เจคมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและเป็นผู้ประกอบการอินเตอร์เน็ตได้ก่อตั้งอาลีบาบาขึ้น เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ที่ห้องพักอพาร์ทเม้นท์เล็ก ๆ ของเมืองฮานโจ ประเทศจีน   ในวันที่ศุกร์ เขาได้เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน ด้วยบริษัทมีค่า IPO ที่สูงที่สุดในสหรัฐ หรืออาจจะเป็นประวัติการของโลกเลยก็ว่าได้ 
With a market cap of $231 billion, the online retailer is nearly as valuable as Wal-Mart and bigger than Amazon and eBay combined. ด้วยมูลค่าทางตลาด 231 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  ร้านค้าปลีกออนไลน์นี้มีมูลค่าเทียบเท่ากับร้านค้าวอลมาร์ต และใหญ่กว่าบริษัทอเมซอนและอีเบย์รวมกัน 
And this is just the beginning. Alibaba plans to expand aggressively in America and Europe and has already invested nearly $1 billion in a host of U.S.-based startups, including Uber, Lyft, ShopRunner, Fanatics, Tango and Kabam.    
และนี่ก็เป็นเพียงแค่เริ่มต้น อาลีบาบาได้วางแผนที่จะขยายตลาดขนาดใหญ่ในอเมริกาและยุโรป และได้ทุ่มเงินลงทุนเกือบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในบริษัทเริ่มต้น รวมทั้ง Uber, Lyft, ShopRunner, Fanatics, Tango และ Kabam.  
Every current and aspiring entrepreneur and business leader should learn from how a Chinese English teacher turned a vision, a group of friends and $60,000 into untold riches and the world's most valuable Internet commerce company. It will no doubt be studied in business schools for generations.
ผู้ประกอบการปัจจุบันทุกคนและผู้นำทางธุรกิจควรจะเรียนรู้จากครูสอนภาษาอังกฤษชาวจีนท่านนี้ที่ได้เปลี่ยนนิมิตของเขา เพื่อนของเขาและเงิน 60,000 เหรียญสหรัฐเป็นเงินมหาศาลและกลายเป็นบริษัทการค้าทางอินเตอร์เน็ต  จึงไม่ใช่เรื่องน่าเเปลกที่ควรจะบรรจุเรื่องนี้ไว้ได้เรียนรู้ในโรงเรียนสอนธุรกิจสำหรับรุ่นต่อ ๆ ไป 
Start here, go anywhere. Recognizing the importance of English, young Ma would ride his bike to a nearby hotel and guide foreigners around the city just to learn and practice the language. His passion for entrepreneurship in many ways parallels Masayoshi Son who grew up poor, followed his dream to Silicon Valley and graduated from U.C. Berkeley before founding Softbank. As chairman of Softbank and Sprint, Son is now the richest man in Japan.
จุดเริ่มต้นจากตรงนี้ คือ  ด้วยความที่หนุ่มมาตระหนักถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษ เขาจึงมักจะขี้จักรยานของเขาไปที่โรงเเรมที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อนำชาวต่างชาติเที่ยวรอบ ๆ เมือง เพียงเพื่อจะได้เรียนและฝึกฝนภาษาอังกฤษ   ความรักในการเป็นผู้ประกอบการของเขาคล้ายกันกับมาซาโยชิ ซัน ผู้ที่เติบโตมาในความยากจน เดินตามความฝันของเขาไปที่ ซิลิคอน วอลเลย์ และจบการศึกษาจาก มหาลัย U.C. เบอร์เคลลีย์ ก่อนที่จะก่อตั้งธนาคาร ซอฟท์เเบงค์ ขึ้น   ด้วยความที่ซันเป็นประธานบริษัทของธนาคารซอฟ์ทเเบงค์ ปัจจุบัน เขาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น 
He had vision … and he had help. Ma saw the Internet’s enormous potential to bridge businesses across China’s huge population early on. So he and his wife brought 17 friends together and pooled $60,000 to start the company. That formed the basis for the company’s dynamic partnership structure and unique culture designed to drive collaboration, diminish bureaucracy and promote accountability for long-term growth.   
เขามีวิสัยทัศน์หรือนิมิต และเขาได้รับความช่วยเหลือ  คุณมาเห็นว่า ความเป็นไปได้ของโลกอินเตอร์เน็ตที่จะเป็นสะพานสู่การสร้างธุรกิจในประเทศจีนที่มีประชากรจำนวนมหาศาล  ดังนั้น เขาและภรรยาจึงได้ชักชวนเพื่อนอีก 17 คนมาร่วมลงทุนด้วยเงินจำนวน 60,000 เหรียญสหรัฐในการเริ่มต้นสร้างบริษัท  และนั่นเป็นการสร้างโครงสร้างทางหุ้นส่วนหลักเบื้องต้น และเป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรมของบริษัทที่ขับเคลื่อนสู่การร่วมมือกัน ขจัดระบบอำนาจเผด็จการสิทธิ์ขาดและส่งเสริมความรับผิดชอบในระยะยาว  
Go big or go home. Even if crowdfunding existed when Alibaba was founded, I doubt if Ma would have gone that route. He’s simply not a “dip your toe in the water” kind of guy. Instead he and his friends went all in, raising a $5 million angel round, $20 million from Softbank in 2000, $1 billion from Yahoo five years later, and $1.6 billion from Silver Lake Partners and DST Global in 2011. That’s how you make it big.   
จะยิ่งใหญ่ หรือจะเล็ก  ถึงแม้ว่าจะสามารถที่จะระดมทุนจากคนมากมาย เมื่ออาลีบาบาถูกก่อตั้งขึ้น แต่ผมสงสัยว่า คุณมาคงไม่เลือกทางนั้น เขาไม่ใช่คนประเภท"เอาปลายนิ้วเท้าจุ่มลงน้ำแน่"  แต่เขาและเพื่อน ๆ กลับยอมเหน็ดเหนื่อย หาเงินทุนมาร่วมลงทุน 5 ล้านเหรียญสหรัฐมาร่วมลงทุน 20 ล้านเหรียญจากธนาคารซอฟ์ทเเบงค์ในปี 2000, 1 พันล้านเหรียญจากยาฮูใน 5 ปีหลังจากนั้น และ 1.6 พันล้านเหรียญจาก ซิลเวอร์ เเลค พาร์ทเนอร์ และ ดีเอสที โกลบอล ในปี 2011  นั่นคือวิธีการทำอย่างยิ่งใหญ่
Big problems lead to big opportunities. China’s lack of brick and mortar infrastructure has always been an insurmountable hurdle for the enormous nation’s small business merchants. Alibaba solved that and now accounts for 80% of the country’s ecommerce – a whopping $248 billion last year and more than twice that of Amazon.
ปัญหาที่ใหญ่นำไปสู่โอกาส  การที่ประเทศจีนขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านอิฐและปูนมักจะเป็นอุปสรรค์กีดกั้นที่ยากจะเอาชนะได้ของธุรกิจค้าขายเล็ก ๆ ของประเทศที่จะเติบโตได้  อลีบาบาได้แก้ไขปัญหานั้นและปัจจุบัน บัญชีการค้า 80% ของธุรกิจอีคอมเมอร์ซ์หรือธุรกิจการค้าออนไลน์ของประเทศได้เติบโตมากถึง 248 พันล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว และมากกว่าบริษัทอเมซอนสองเท่า
Innovation comes from unique individuals who think and act differently. Everyone talks about changing the world and making tons of money these days, but those who actually do it are exceptional individuals with breakthrough ideas, uncommon vision and a passion to do great work. Disruptive innovation comes from people who break from the status quo and carve their own path.
การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มาจากคนแต่ละคนที่คิดและกระทำแตกต่างกัน  ทุกคนต่างพูดเกี่ยวกับการเปลี่ยนเเปลงโลกและทำเงินมหาศาลในปัจจุบันนี้ แต่คนที่ทำได้จริงคือคนที่พิเศษด้วยการฝ่าผ่านความคิดเหล่านั้น วิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา และความปรารถนาอันเเรงกล้าที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่  การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่ยอดเยี่ยมมาจากคนที่ฝ่าฟันและเลือกเส้นทางของตนเอง 
Stand on the shoulders of giants ... but learn from their mistakes. Like Amazon and eBay, Alibaba is an Internet commerce company, but that’s where the similarity ends. Alibaba does not actually hold inventory or sell goods. It’s a middleman that collects annual fees and commissions from larger merchants and advertising fees from smaller ones. The result is one of the most scalable and profitable business models on Earth.
จงยืนอยู่บนไหล่ของบรรดายักษ์ทั้งหลาย แต่จงเรียนรู้ความผิดพลาดจากพวกเขา  อลีบาบาก็เป็นบริษัทเหมือนกับบริษัทอเมซอนกับอีเบย์ ซึ่งเป็นบริษัทการค้าทางอินเตอร์เน็ต แต่นั่นเป็นความคล้ายกัน  แต่อลีบาบาไม่ได้มีสินค้าคงคลังหรือขายสินค้าใด ๆ  บริษัทอลีบาบาเป็นเพียงตัวกลางที่เก็บรวบรวมรายได้จากค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่นจากร้านค้ารายใหญ่ และค่าโฆษณาจากร้านค้าเล็ก ๆ   จึงทำให้อลีบาบาเป็นหนึ่งในต้นเเบบทธุรกิจที่ทำกำไรบนโลกนี้ 
What’s in a name? Less than you think. Apple. Facebook. Google. Microsoft. Uber. One Kings Lane. Fanatics. Starbucks. Whole Foods. What do the names and brands of all these companies have in common? Absolutely nothing. Some are conjunctions or made-up words. Others are common words or phrases. There’s even a fruit. It’s what your business does for customers that counts … not your name or personal brand.
แล้วชื่อล่ะ มีส่วนอะไร  น้อยกว่าที่คุณคิดเสียอีก  บริษัท เเอปเปิล เฟสบุ๊ค กูเกิล ไมโครซอฟท อูเบอร์ One Kings Lane. Fanatics. Starbucks. Whole Foods. ชื่อของบริษัทเหล่านี้มีอะไรเหมือน ๆ กันหรือ  คำตอบคือ ไม่เหมือนกันเลย  บางชื่อก็เกิดจากการรวมกันของคำ บางชื่อก็เป็นคำพื้น ๆ หรือวลีเรียบ ๆ  หรือแม้แต่เป็นชื่อผลไม้  แต่สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่บริษัทของคุณให้บริการแก่ลูกค้า นั่นต่างหาก เป็นสิ่งที่สำคัญ  ไม่ใช่ชื่อของบริษัท หรือเเบรนด์ส่วนตัว 
Jack Ma was sitting in a San Francisco coffee shop when he thought of how Ali Baba overheard the secret password of The 40 Thieves -- “open sesame” -- and unlocked untold riches. It resonated with his vision of unlocking the potential of China’s small and midsized merchants. Now you know the secret of how he accomplished his dream.  
ในขณะที่ เจค มา กำลังนั่งอยู่ที่ร้านกาเเฟแห่งหนึ่งในรัฐซาน ฟรานซิสโก และกำลังคิดถึง เรื่องที่ อลี บาบา เเอบได้ยินคำวิเศษซึ่งเป็นรหัสลับของ 40 หัวขโมย ที่ว่า "จงเปิด ซีเเซม" ซึ่งเป็นกุญเเจไขไปสู่ขุนทรัพย์อันมหาศาล  มันตรงใจกับวิสัยทัศน์ของเขาที่ต้องการไขปัญหาให้กับร้านค้าขนาดเล็กและขนาดย่อมในประเทศจริง  ตอนนี้ คุณก็รู้เคล็ดลับที่เขาประสบความสำเร็จตามฝันของเขาแล้ว 

Read More on www.entreprenuer.com

Saturday, September 20, 2014

Former Apple and Pepsi CEO John Sculley: Great Marketers Do This ยอดนักการตลาด เขาทำสิ่งต่อไปนี้

John Sculley, former CEO of Apple and Pepsi, is the creative mind behind two of the most well-known advertisements in the past fifty years, namely the Pepsi Challenge and Apple's groundbreaking 1984 Super Bowl Macintosh commercial.
จอห์น สคิวลี อดีต ซีอีโอ ของบริษัทแอปเปิลและเป๊ปซี่ เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ผู้อยู่เบื้องหลังการโฆษณาอันโด่งดังสองรายการในเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ เป๊ปซี่ชาเลนช์และ แอปเปิลกราวเบรกกิ้ง 1984 ที่โฆษณาเมกอินทอช
Sculley has been closely following the ways social media has shaped the marketing industry by allowing customers to communicate with one another and share honest opinions about brands and products. "Suddenly customers are paying a lot more attention to other customers and smart data," he says, although many brands, especially established ones, have been slow to adapt to this shift. "So many people in business focus on the competition, and when you do focus on the competition, you’re really only talking about incremental improvements because you are trying to take something away from a competitor."
สคิวลีได้ติดตามสื่อสังคม โซซิลมีเดีย อย่างใกล้ชิดและได้ปรับอุตสาหกรรมการตลาดโดยการอนุญาตให้ลูกค้าได้สื่อสารคุยกันและแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ “ทันใดนั้น ลูกค้าต่างก็ให้ความสนใจกับข้อมูลของลูกค้าคนอื่น” เขากล่าว “ถึงแม้ว่า หลาย ๆ แบรนด์จะปรับตัวไปกับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างช้า ๆ”  มีบริษัทจำนวนมากที่มุ่งแต่ทำการแข่งขัน และเมื่อคุณมุ่งแต่ทำการแข่งขัน คุณก็จะมัวแต่พูดเกี่ยวกับการปรับปรุงให้มากขึ้น เพราะคุณพยายามที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
Instead, Sculley recommends zeroing in on the customer's needs. It's a strategy that has launched mega-success stories such as Uber and Airbnb because it encourages companies to ask the most important question: "How do I solve a really big customer problem?" แต่แทนที่จะทำอย่างนั้น สคิวลี กลับแนะนำให้มุ่งความสนใจไปที่ความต้องการของลูกค้า  นั่นเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้หลาย ๆ บริษัทได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่มาแล้ว อย่างบริษัท อูเบอร์ และแอร์บีแอนบี เพราะว่าบริษัทได้ท้าทายถามคำถามที่สำคัญมาก คือ “เราจะแก้ปัญหาใหญ่ของลูกค้าได้อย่างไร”
It also results in invaluable, organic word-of-mouth advertising. "There’s nothing better in marketing than referrals from a happy customer," he says.  มันยังเป็นการโฆษณาที่ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการโฆษณาแบบปากต่อปาก “การตลาดนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการแนะนำปากต่อปากจากลูกค้าที่มีความสุข” เขากล่าว
ดูวีดีโอข้างล่างนี้ ฟังเขาอธิบายว่าทำไมจึงถึงเวลาแล้วที่จะโยนแผนธุรกิจของคุณทิ้งและแทนที่ด้วยแผนลูกค้า
Watch this video to hear Sculley explain why it's time to throw your business plan out the window and replace it with a customer plan.  
Read more on http://www.entrepreneur.com

Steve Jobs brainstorms with the NeXT team (1985) จุดเริ่มต้นของบริษัทเริ่มต้นจากแนวคิดและรวบรวมความคิด

Thursday, September 11, 2014

15 แนวคิดของผู้ประสบความสำเร็จ (จอห์น ซี แมกซ์เวล, How Successful People Think )

15 แนวคิดของผู้ประสบความสำเร็จ (จอห์น ซี แมกซ์เวล, How Successful People Think )

บุคคลที่ประสบความสำเร็จต่างๆของโลกนั้น ล้วนแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน พวกเขาคิดต่างจากคนทั่วไป

1. คิดให้เป็นกิจวัตร การจะเป็นนักคิดที่เก่งจำเป็นต้องมีการฝึกฝนเป็นประจำ
แดน แคธี ซีอีโอของ Chick-fil-A แฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดชื่อดังของสหรัฐ จัดเวลาให้ตนเองครึ่งวันทุกๆ 2 สัปดาห์ 1 วันทุกๆ เดือน และ 2-3 วัน ทุกๆ ปี เพื่อคิดตริตรองและวางแผนในเรื่องต่างๆ
2. ใช้กฏ 80/20 นั่นคือ อุทิศ 80% ของพลังงานทั้งหมดในตัวคุณให้กับ 20% ของกิจกรรมที่สำคัญที่สุด


จำไว้เสมอว่าคุณไม่สามารถอยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง รู้จักคนทุกคน ทำอะไรได้ทุกสิ่ง หลีกเลี่ยงการทำหลายๆ กิจกรรมพร้อมกันหากมันทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคุณลดลง
3. เปิดกว้างตนเองแก่ความเห็นที่แตกต่างและเปิดใจแก่ผู้คนหลากหลายประเภท
4.ไอเดียเป็นสิ่งสำคัญ แต่การต่อยอดไอเดียนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน
เตือนตัวเองไว้เสมอว่าไอเดียนั้นไม่มีสารกันบูด จงรีบทำอะไรกับไอเดียดีๆ ที่เราคิดขึ้นมาได้ก่อนที่มันจะหมดอายุไปเสีย
5. ความคิดที่ดีนั้นใช้เวลาในการสร้าง
อย่าเพิ่งลงหลักปักฐานกับสิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของคุณ ความคิดที่ดีมักจะต้องมีการปรับแต่งให้มีรูปร่างและผ่านกระบวนการทดสอบมาแล้ว
6. คนฉลาดมักจะชอบทำงานร่วมกับคนฉลาด
การคิดร่วมกันมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าคล้ายกับเป็นทางลัดให้กันและกัน การระดมความคิดจึงเป็นวิธีการที่เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วให้กับงานต่างๆ
7. ความคิดกระแสนิยมอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุดเสมอไป
อย่าเพียงทำตามผู้อื่นเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ใครๆ ได้ไตร่ตรองมาแล้วจึงย่อมจะดีเสมอ ผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่ากว่าใครๆ นั้นมักคิดอะไรด้วยตนเอง เขาจึงโดดเด่นจากฝูงชน
8. วางแผนหรือกลยุทธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดความผิดพลาด
ให้แตกประเด็นใหญ่เป็นส่วนย่อยๆ เพื่อแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นอย่าลืมตรวจสอบทรัพยากรและเครื่องมือต่างๆ ที่คุณมีและจัดวางมันให้เหมาะสมในการแก้ปัญหา
9. หาเวลาคิดและทำในสิ่งที่แตกต่างอยู่เสมอๆ
ลองทำอะไรในกิจวัตรประจำวันที่คุณยังไม่เคยทำมาก่อนเพื่อการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิตและหามุมมองกับไอเดียความคิดที่สดใหม่
10. ความคิดคุณไม่มีทางที่จะถูกต้องเสมอไป
ให้โอกาสกับความคิดผู้อื่นบ้าง
11. มีกำหนดการอยู่เสมอ อย่าวางแผนเพียงวันต่อวัน
ควรวางแผนล่วงหน้าระยะยาวให้เป็นนิสัย คิดก่อนว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรจากใคร คนฉลาดจะไม่เข้าสู่การประชุม งานสังสรรค์ หรือการจิบกาแฟพูดคุยอย่างไร้จุดหมาย (ใช้เวลาไปสร้างสรรงานอื่นๆ ดีกว่าเสียเวลาประชุมอะไรที่ไม่มีผลผลิตที่มีค่าพอ)
12. ฝึกฝนการคิดสะท้อน (Reflective Thinking) หรือการคิดหลายแง่มุม
นี่เป็นการคิดเป็นระบบเหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ การคิดที่มาจากการไตร่ตรองแล้วจะทำให้คุณมีความมั่นใจในการตัดสินใจ
13. หลีกเลี่ยงการพูดแง่ลบกับตนเอง จงคิดว่าคุณสามารถทำได้ และคุณจะทำ
คนฉลาดจะไม่เห็นข้อจำกัดต่างๆ แต่ในทางกลับกันเขาจะเห็นโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมา
14. มีความคิดสร้างสรร
อุทิศเวลาให้กับการค้นหาไอเดียใหม่ๆ อย่าไปกลัวความคลุมเครือและความล้มเหลวในเรื่องต่างๆ
15. อย่ามองโลกในแง่บวกไปเสียทุกเรื่อง
ต้องคิดให้สมเหตุสมผล และยอมรับความเป็นจริง คิดวิเคราะห์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ จำลองสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นได้ และไม่ลืมที่จะวางแผนบนพื้นฐานของทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่
ท้ายที่สุดนั้น อย่าลืมว่าคุณสามารถเปลี่ยนแนวคิดของคุณได้ การเรียนรู้กระบวนการคิดที่ถูกต้องจะทำให้คุณเป็นคนที่คิดอย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณสามารถสร้างวินัยในการการคิด มันจะเป็นนิสัยที่ติดตัวคุณไปตลอด และจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิต
ข้อมูลจากเว็บไซต์กองทุนบัวหลวง www.bblam.co.th


Tuesday, September 9, 2014

The Secrets of Personal Finance (ความลับเรื่องการเงินส่วนบุคคล)


The Secrets of Personal Finance
ความลับเรื่องการเงินส่วนบุคคล
I managed to totally screw things up for myself at the ages of 20, 22, 24, 29, 33, 37, and 40 so I decided to write everything I know about so-called “personal finance”. The words personal finance are a total scam but I’ll save that for another time. Let’s just say, this is about how to build wealth and preserve your wealth. 
ผมได้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยุ่งเหยิงตอนอายุ 20, 22, 24, 29, 33, 37 และ 40  ดังนั้น ผมจึงได้ตัดสินใจเขียนทุกอย่างที่ผมรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าการเงินส่วนบุคคล”  คำว่า การเงินส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่หลอกลวง แต่ผมขอเก็บเอาไว้ก่อน  ขอพูดแค่ว่า นี่เป็นเรื่องของการสร้างความมั่งคั่งและรักษาความมั่งคั่ง
The things you need to know. สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้
The first answer is: nothing. You need to know absolutely nothing about personal finance. Buying a cheap beer versus buying an expensive beer will not help you get rich.
But, that seems cynical. So let me say congratulations first. You’re 20 years old! Yay!
I can’t even really remember 20 years old. I started my first business then. And failed at it. But that’s another story.
สิ่งแรกก็คือ ไม่มีอะไรเลย คุณไม่จำเป็นต้องรู้อะไรเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคล  การซื้อเบียร์ถูก กับการซื้อเบียร์ราคาแพง ไม่ได้ช่วยให้คุณร่ำรวยขึ้นมาได้  แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นการเยาะเย้ยถากถางไปหน่อย ดังนั้นอันดับแรก ผมจึงขอพูดว่า ยินดีด้วย ก่อน  คุณอายุ 20 ปีหรือ! ใช่เรย!  ผมแทบจำความตอนอายุ 20 ปีไม่ได้แล้ว ตอนนั้น ผมเริ่มธุรกิจแรกของผม แต่ก็ล้มเหลว  แล้วก็มีเรื่องต่อจากนั้นอีก  เมื่อตอนผมอายุ 22 ปี  ผมถูกไล่ออกจากโรงเรียน และถูกไล่ออกจากงาน 3 แห่ง ซึ่งในแต่ละแห่งก็มีเงินเดือนที่สูงขึ้น แต่แต่ละแห่ง ผมก็เก็บเงินไม่ได้สักบาทเดียว
When I was 22 I was thrown out of graduate school and then fired from 3 jobs in a row at higher and higher salaries where I saved nothing.
When I was 24 I moved to NYC and began the first of about ten career changes. The first rule of personal finance is that it’s not personal and it’s not financial. It’s about your ability to make ten changes and not get too depressed over it.
เมื่อตอนผมอายุ 24 ปี ผมได้ย้ายไปที่กรุงนิวยอร์ก และเริ่มเปลี่ยนงานสิบแห่งเป็นครั้งแรก  กฎแรกของการเงินส่วนบุคคลคือ มันไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลอย่างที่ว่า และมันไม่ใช่เกี่ยวกับการเงินอย่างที่บอก  แต่มันเกี่ยวกับความสามารถในการเปลี่ยนงาน 10 ครั้งและไม่ได้รู้สึกหดหู่ใจกับมันมากเกินไป
During those career changes I made a lot of money. Then lost a lot. Then made a lot. Then lost a lot. Then made a lot more.
I did this so many times I made a study of what was working for me on the way up. And what wasn’t working on the way down.
ในช่วงที่ทำการเปลี่ยนงานบ่อย นั้น ผมทำเงินได้เยอะมาก แต่ก็หมดตัว จากนั้นก็ทำเงินได้เยอะ อีก และก็ถังแตกเหมือนเดิม จากนั้น ก็ทำเงินได้มากกว่าเดิมอีก  ผมทำอย่างนี้หลายต่อหลายครั้ง ผมจึงได้ทำการศึกษาเรียนรู้ว่าอะไรใช้ได้ผลสำหรับผมในช่วงขาขึ้น และอะไรใช้ไม่ได้ผลสำหรับผมในช่วงขาลง
So I’m not an expert on anything. I just know WHAT HAS WORKED FOR ME to create massive success. I’m admitting it right now. I’m not just a failure.
First off, don’t bother saving money. You get more money in the bank by making more money.
ดังผมจึงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอะไร ผมแค่รู้ว่า อะไรใช้ได้ผลสำหรับผม เพื่อจะสร้างความสำเร็จให้ผม  ตอนนี้ผมยอมรับมันแล้ว ผมไม่ใช่ผู้ล้มเหลว
ก่อนอื่น อย่าได้สนใจเรื่องการเก็บเงิน  คุณมีเงินมากขึ้นในธนาคารได้เพราะคุณสร้างรายได้มากขึ้น  นั่นคือกฎข้อที่ 1 That’s rule #1.
People might think this is flippant. What if they can’t make more money. Well, then, you’re going to run out of money. No personal finance rule will help.
ผู้คนอาจจะคิดว่า นี้เป็นเรื่องที่ทะลึ่ง  แต่ถ้าหากว่า พวกเขาไม่สามารถสร้างรายได้ที่มากขึ้นได้  สุดท้ายคุณก็จะไม่มีเงินเหลือ  กฎการเงินส่วนบุคคลก็ไม่อาจช่วยคุณได้
Buying coffee on the street instead of in a Starbucks is the poor man’s way to get rich. In other words, you will never get rich by scratching out ten cents from your dollar.
People save 10 cents on a coffee and then….overpay $100,000 for a house and then do reconstruction on it.
การซื้อกาแฟตามท้องถนนแทนที่การซื้อกาแฟแบรนด์ราคาแพงอย่างสตาร์บัคเป็นวิธีการของคนจนที่อยากจะรวย  พูดอีกอย่างก็คือ คุณไม่มีทางรวยได้จากการประหยัดเงินเพียง 10 เซ็นต์จากเงิน 1 ดอลลาร์หรอก   คนมักจะประหยัด 10 เซ็นต์จากการซื้อกาแฟ และจากนั้น ก็จ่ายเกินตัว เป็นแสนดอลลาร์เพื่อซื้อบ้านและต่อเติมบ้าน
Or they save 10 cents on a book and then…buy a college degree that they never use for $200,000.
Now your real education can begin:
หรือพวกเขามักจะประหยัดเงิน 10 เซ็นต์จากการซื้อหนังสือ และจากนั้น ก็เอาเงินไปซื้อใบปริญญาที่ไม่เคยใช้เป็น 200,000 ดอลลาร์  มาถึงตอนนี้ คุณคงจะรู้แล้วว่า
A)    Don’t save money. Make more. If you think this is not so easy then remember: whatever direction you are walking in, eventually you get there.
อย่ามุ่งแต่ประหยัดเงิน แต่จงสร้างรายได้ให้มากขึ้น  ถ้าคุณคิดว่า การทำอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ขอให้จำไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะเดินไปทางทิศใดก็ตาม สุดท้ายคุณก็จะไปถึงที่นั่นอยู่ดี
B)    That said, don’t spend money on the BIGGEST expenses in life. House and college (and kids and marriage but, of course, there are exceptions there). Just saving on these two things alone is worth over a million dollars in your bank account.
นั่นคือ อย่าใช้เงินซื้อสิ่งฟุ่มเฟือยราคาแพงในชีวิต   บ้าน ใบปริญญา (และลูก หรือชีวิตแต่งงานเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ แน่นอนว่า นั่นอาจมีข้อยกเว้นขอแค่ประหยัดในสองเรื่องนี้ ก็อาจทำให้บัญชีธนาคารของคุณมีเงินมากกว่าล้านบาทได้
C)    But doesn’t renting flush money down the toilet? No, it doesn’t. Do the math. You can argue all you want but the math is very clear as long as you are not lying to yourself.
แต่มันเป็นการใช้เงินอย่างเปล่าประโยชน์หรือเปล่า ไม่เลย ขอให้ทำการคำนวณตัวเลขดี คุณอาจจะโต้แย้งเพื่อให้ได้มาสิ่งที่คุณต้องการ แต่การคำนวณทางคณิตศาสตร์มักจะชัดเจนกว่าตราบเท่าที่คุณไม่ได้หลอกตัวเอง
D) Haven’t studies shown that college graduates make more money 20 years later?
No, studies have not shown that. They show correlation but not causation and they don’t take into account multi-collinearity (it could be that the children of middle class families have higher paying jobs later and, oh by the way, these children also go to college).
 มีการวิจัยไหนบ้างที่บอกว่า ผู้ที่เรียนจบการศึกษาปริญญาตรีทำเงินได้มากขึ้นเมื่อ 20 ปี ผ่านไป  คำตอบคือ ไม่มีเลย ไม่มีการวิจัยใดบอกอย่างนั้น  พวกเขาอาจจะแสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องเชื่อมโยง แต่ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เป็น่เช่นนั้น อาจเป็นไปได้ว่าเด็กของครอบครัวชนชั้นกลางอาจจะมีการงานที่ดีกว่าและมีรายได้มากกว่า  โอ้ แต่พวกเขาก็ไปเรียนมหาลัยด้วย
E) Don’t invest in anything that you can’t directly control every aspect of. In other words…yourself.
In other words:
อย่าลงทุนลงไปในสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมทุกแง่มุมได้  กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ตัวคุณเอง  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ

1.      You can’t make or save money from a salary.And salaries have been going down versus inflation for 40 years. So don’t count on a salary. You’re 20, please take this advice alone if you take any advice at all.
คุณไม่สามารถที่จะสร้างรายได้หรือประหยัดเงินได้จากเงินเดือน และเงินเดือนก็มีแต่ลดค่าลงเรื่อย ด้วยเงินเฟ้อเป็นเวลา 40 ปี  ฉะนั้น อย่าพึ่งเงินเดือน  ถ้าคุณยังอายุ 20 ปี ขอรับคำแนะนำนี้ไว้
2.      Investing is a tax on the middle class. There are at least 5 levels of fees stripped out of your hard-earned cash before your money touches an investment.
การลงทุนคือภาษีอย่างหนึ่งที่ใช้กับชนชั้นกลาง   มีการเก็บค่าธรรมเนียมอยู่ 5 ระดับเป็นอย่างน้อย ที่จะเอาเงินออกจากรายได้ของคุณ ก่อนที่เงินของคุณจะเข้าไปถึงการลงทุนจริง  ๆ  
F) If you want to make money you have to learn the following skills. None of these skills are taught in college.
ถ้าคุณอยากจะมีรายได้ที่มากขึ้น คุณต้องเรียนรู้ที่จะมีทักษะต่อไปนี้  ทักษะต่อไปนี้ ไม่มีใครสอนในมหาวิทยาลัย
I’m not saying college is awful or about money, etc. I’m just saying that the only skills needed to make money will never be learned in college:
ผมไม่ได้กำลังบอกว่า มหาวิทยลัยแย่เกี่ยวกับเรื่องเงินทอง แต่ผมแค่พูดว่า ทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างรายได้ไม่มีทางได้เรียนรู้ในมหาวิทยาลัย  ทักษะที่ว่ามีดังต่อไปนี้คือ
·         how to sell (both in a presentation and via copywriting) ทักษะการขาย (ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอสินค้าหรือการผ่านการลอกเลียนแบบ)
·         how to negotiate (which means win-win, not war) ทักษะการเจรจา (นั่นคือ การเจรจาแบบ ชนะทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่สงคราม)
·         creativity (take out a pad, write down a list of ideas, every day) ทักษะการมีความคิดสร้างสรรค์  การเอากระดาษออกมาจดรายการความคิดใหม่ทุกวัน)
·         leadership (give more to others than you expect back for yourself) ทักษะการเป็นผู้นำ (การให้ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนเพื่อตัวคุณเอง)
·         networking (a corollary of leadership) ทักษะการสร้างเครือข่าย(ซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นผู้นำ)
·         how to live by themes instead of goals (goals will break your heart)
ทักษะการดำเนินชีวิตโดยมีแก่นสารแทนที่การมีชีวิตเพื่อเป้าหมาย (เพราะเป้าหมายจะทำให้ใจของคุณแตกสลาย)
·         reinvention (which will happen repeatedly throughout a life) ทักษะการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ตลอดเวลา (ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดชีวิต)
·         Idea sex (get good at coming up with ideas. Then combine them. Master the intersection)
เก่งในการสรรหาความคิดใหม่ เชื่อมโยงความคิดต่าง เข้าด้วยกันอย่างช่ำชอง
·         the 1% rule (every week try to get better 1% physically, emotionally, mentally)
กฎ 1% (คือ ทุก สัปดาห์พัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีขึ้น 1% ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย อารมณ์ หรือจิตใจ)
·         “the google rule” – always send people to the best resource, even if it’s a competitor. The benefit to you comes back tenfold  “กฎแห่งกูเกิลส่งคนไปยังแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดเสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคู่แข่งก็ตาม  เพราะผลประโยชน์ที่สะท้อนกลับมาหาเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า
·         give constantly to the people in your network. The value of your network increase linearly if you get to know more people but EXPONENTIALLY if the people you know, get to know and help each other. จงให้แก่คนในองค์กรของคุณหรือคนในเครือข่ายของคุณอย่างสม่ำเสมอ  เพราะคุณค่าของเครือข่ายของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถ้าคุณรู้จักคนมากขึ้น แต่จะเพิ่มอย่างทวีคูณ ถ้าคนที่คุณรู้จัก รู้จักที่จะช่วยเหลือกันและกัน
·         how to fail so that a failure turns into a beginning รู้จักความล้มเหลวเพื่อว่าความล้มเหลวจะได้เปลี่ยนเป็นการเริ่มต้นใหม่
·         simple tools to increase productivity รู้จักเครื่องมือง่าย ในการเพิ่มผลผลิต
·         how to master a field. You can’t learn this in school with each “field” being regimented into equal 50 minute periods. Mastery begins when formal education ends. Find the topic that sets your heart on fire. Then combust.
รู้จักที่จะฝึกตนให้ชำนาญในวิชาความรู้ภาคสนาม คุณไม่อาจเรียนรู้สิ่งนี้ในโรงเรียนด้วยการให้ความรู้ภาคสนามเข้ามาอยู่ในคาบเรียน 50 นาที  ความเชี่ยวชาญจะเกิดขึ้นเมื่อการเล่าเรียนในโรงเรียนจบลง จงหาสิ่งที่ทำให้หัวใจของคุณร้อนรน  จากนั้นก็ลงมือทำสิ่งนั้น
·         stopping the noise: news, advice books, fees upon fees in almost every area of life. Create your own noise instead of falling in life with the others. จงหยุดฟังเสียงรบกวนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นข่าว หนังสือแนะนำ ค่าโน่นค่านี่ในเกือบทุกด้านของชีวิต จงฟังเสียงของตัวเองแทนที่จะหลงเดินตามชีวิตของคนอื่น
If you do all this you will gradually make more and more money and help more and more people. At least, I’ve seen it happen for me and for others. ถ้าคุณทำตามอย่างนี้ คุณจะค่อย สร้างรายได้ที่มากขึ้นและมากขึ้น และสามารถช่วยคนอื่นได้มากขึ้นและมากขึ้น  อย่างน้อย ผมก็ได้เห็นมันเกิดขึ้นกับผมและกับคนอื่นอีกหลาย คน
I hope this doesn’t sound arrogant. I’ve messed up too much by not following the above advice.
Don’t plagiarize the lives of your parents, your peers, your teachers, your colleagues, your bosses.
Create your own life. ผมหวังว่า สิ่งนี้คำแนะนำนี้คงจะไม่ฟังดูเหมือนเย่อหยิ่งสำหรับคุณ ชีวิตผมวุ่นวายมามากเพราะไม่ได้ทำตามคำแนะนำข้างบนนี้  อย่าคัดลอกชีวิตของพ่อแม่คุณ เพื่อนของคุณ ครูของคุณ เพื่อนร่วมงานของคุณ หัวหน้าของคุณ 
Be the criminal of their rules. จงอยู่นอกกฎของคนอื่น จงเดินตามทางของตัวเอง
I wish I were you because if you follow the above, then you will most likely end up doing what you love and getting massively rich and helping many others.
I didn’t do that when I was 20. But now, at 46, I’m really grateful I have the chance every day to wake up and improve 1%.
ผมปรารถนาให้ผมเป็นคุณ เพราะว่า ถ้าคุณทำตามคำแนะนำข้างบนนี้ คุณคงจะสิ้นสุดลงด้วยการได้ทำในสิ่งที่คุณรักและคงจะมั่งคั่ง และคงได้ช่วยเหลือผู้คนอีกมากมาย
ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นตอนผมอายุ 20 ปี ตอนนี้ ผมอายุ 46 ปีแล้ว ผมรู้สึกขอบคุณที่ผมได้มีโอกาสตื่นขึ้นมาทุกวัน และปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น 1% ทุกวัน  

แหล่งที่มา http://www.jamesaltucher.com/